การได้ยิน เป็นหนึ่งในการรับรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 แต่รู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่เสียงทุกชนิดที่ได้ยิน จะเป็นมิตรกับระบบประสาทหู เนื่องจากเสียงที่เกิดจากแหล่งกำเนิดเสียงบางชนิด และมีระดับความดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด สามารถถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของมลพิษทางเสียง ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายต่อหูได้เช่นเดียวกัน
เสียงคืออะไร แบบไหนเรียกเสียงดัง
เสียง (Sound) จัดเป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน จะส่งผลให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลางไม่ว่าจะเป็น ของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางผ่านอากาศ ไปยังส่วนรับเสียงนั่นก็คือหู ซึ่งหูและระบบประสาทรับเสียงจะมีหน้าที่รับเสียงเพื่อแปลเป็นสัญญาณส่งไปยังสมองเพื่อการรับรู้ต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน เสียงที่ไม่พึงปรารถนาจำพวกเสียงที่ดังเกินไป หรือรบกวนการได้ยิน อาจจะทำให้โซนประสาทอ่อนล้า ก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายต่อหูได้ เสียงจำพวกนี้ จะถูกเรียกว่า “เสียงดัง” หรือ “Noise” นั่นเอง
เสียงดังแค่ไหน ก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายต่อหู
ความดังของเสียง จะถูกระบุอยู่ในหน่วย “เดซิเบล เอ (dBA)” ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว กรมควบคุมมลพิษได้กำหนดมาตรฐานระดับเสียงโดยทั่วไปเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่เกิน 70 dBA และมีค่าสูงสุดไม่เกิน 115 dBA
นอกจากนี้องค์กรอนามัยโลกกำหนดว่า เสียงที่เป็นอันตราย หมายถึงเสียงที่ดังเกิน 85 dBA โดยหากได้รับเสียงในระดับเสียงดังเกิน 70-75 dBA เป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้ความรู้สึกต่อการได้ยินจะลดความไวลง นอกจากนี้ หากมีความจำเป็นต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังเป็นระยะเวลานาน กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ยังได้กำหนดมาตรฐานของระดับเสียงในสถานประกอบการไว้ดังนี้
- ได้รับเสียงไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงติดต่อกันไม่เกิน 91 dBA
- ได้รับเสียงวันละ 7-8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงติดต่อกันไม่เกิน 90 dBA
- ได้รับเสียงเกินวันละ 8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงติดต่อกันไม่เกิน 80 dBA
- นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่ที่มีระดับเสียงเกิน 140 dBA ไม่ได้
เสียงดังอันตรายอย่างไร
เมื่อรับเสียงดังติดต่อกันเป็นเวลานานเกินระดับมาตรฐาน จะสามารถทำให้เกิดอันตรายจากเสียงดังได้ดังนี้
1. อันตรายต่อหูและการได้ยิน
เนื่องจากหูที่เป็นระบบประสาทรับเสียง ประกอบไปด้วยอวัยวะภายในต่างๆ มากมายร่วมถึงเส้นขนและเซลล์ประสาท ซึ่งเสียงที่ดังเกินไปจะทำให้ระบบประสาทเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ยินเสียงดังติดต่อกันเป็นเวลานาน สามารถส่งผลให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อม ไปจนถึงการสูญเสียการได้ยินทั้งชั่วคราวและถาวรได้เลย
2. ส่งผลต่อการนอน
เนื่องจากเสียงดัง จะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถผ่อนคลายได้และอาจจะนอนไม่หลับ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ
3. สามารถทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาได้
เนื่องจากเสียงดัง จะทำให้เกิดอาการตกใจ ความดันโลหิตสูง หรือหัวใจเต้นผิดปกติและนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
4. มีอันตรายต่อทารกในครรภ์
ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้ได้ยิน แต่สามารถส่งผลกระทับไปยังทารกในครรภ์ได้ด้วยเช่นกันถึงแม้ว่ามารดาจะสวมใส่เครื่องป้องกันเสียงแล้วก็ตาม
5. ส่งผลกระทบต่อสมาธิ และอารมณ์ความรู้สึก
เพราะเสียงที่ดังเกินไป สามารถส่งผลต่อระบบประสาทและสมองได้ จึงสามารถทำให้เกิดผลกระทบสำหรับกรณีที่ต้องการสมาธิ และเสียงที่ดังเกินไป ยังก่อให้เกิดความเครียดได้อีกด้วย
วิธีป้องกันเสียงดังให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับวิธีป้องกันเสียงดังให้มีประสิทธิภาพ สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังเกินกว่ามาตรฐาน
2. หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียง ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันเสียง จะถูกแบ่งออกไปตามประเภท และความเหมาะสมต่อการใช้งาน เช่น
- ปลั๊กอุดหู ทำจากพลาสติกหรือซิลิโคน สามารถลดระดับความดังของเสียงได้ 10-20 dBA
- ที่ครอบหู จะปิดหูและกระดูกรอบๆ ใบหูไว้ได้ทั้งหมด สามารถทดระดับความดังของเสียงได้ 20-40 dBA
3. สำหรับสถานที่ปฏิบัติงาน ที่มีการใช้งานเครื่องจักที่ส่งเสียงดัง ควรมีการซ่อมบำรุง และตรวจสอบเครื่องจักรเป็นประจำ รวมถึงการมีโครงสร้างสำหรับป้องกันเสียง และมีการสนับสนุนให้พนักงานได้รับการตรวจสอบสมรรถภาพการได้ยินเป็นประจำทุกปี
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ไม่ใช่เสียงทุกชนิดจัดเป็นเสียงที่เหมาะสม เพราะมลพิษทางเสียงสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเรา หากมีความจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษทางเสียง อย่าลืมหาทางหลีกเที่ยงหรือป้องกันให้ดีที่สุด